คุกลับของ CIA ในประเทศไทย มีจริงหรือ ????

Posted by dddasd On วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555 0 ความคิดเห็น

คุกลับของ CIA ในประเทศไทย มีจริงหรือ ????

คุกลับ หรือ แบล็กไซต์ (Black Sites) ของ CIA (สำนักงานข่าวกรองของสหรัฐ) ในประเทศไทย ซึ่งข่าวเรื่องนี้ หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ได้เคยตีพิมพ์ข่าว ในปี 2548 ว่า CIA ได้กักขังผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้ายในเหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 ไว้ใน “คุกลับ” ซึ่งถูกสร้างขึ้นในต่างประเทศ เช่น อัฟกานิสถาน หลายประเทศในยุโรปตะวันออก รวมถึงประเทศไทยด้วย
“คุกลับ” เหล่านี้ ใ
ช้กักขังเพื่อสอบสวน เหล่าผู้ก่อการร้ายเครือข่ายอัลเคดา ที่ถูก CIA อุ้ม และจับตัวได้ในหลายประเทศทั่วโลก เพราะกฎหมายสหรัฐ ห้ามไม่ให้จับกุม คุมขังผู้ต้องสงสัย โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม และจำเลยมีสิทธิตั้งทนายเพื่อสู้คดี แต่ผู้นำสหรัฐในขณะนั้น คือ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้ลงนามคำสั่งให้อำนาจ CIA ใช้ทุกวิธีการเพื่อยับยั้งการเคลื่อนไหว และแผนการก่อวินาศกรรม รวมถึงมีอำนาจอย่างเต็มที่ในการสอบสวนหาสาเหตุของเหตุการณ์ 9/11
สำหรับ “คุกลับ” ในประเทศไทย วอชิงตัน โพสต์ ระบุว่า ถือเป็นคุกลับระดับที่ 1 ระดับเดียวกับคุกลับที่อ่าวกัวตานาโม ของคิวบา และเคยใช้ควบคุมแกนนำระดับสูงของอัลเคดา ถึง 2 คน คือ นายรัมซี บินอัลชิบห์ 1 ในผู้ร่วมวางแผนก่อวินาศกรรมในเหตุการณ์ 9/11 และนายอาบิน ซูบัยดะห์ หัวหน้าฝ่ายวางแผนโจมตีของอัลเคดา
โดย “คุกลับ” ในประเทศไทย เกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ CIA ได้เดินทางเข้ามาเจรจากับทางการไทย ประมาณกลางปี 2545 โดยใช้งบประมาณมากกว่า 1,000 ล้านบาทในการก่อสร้าง ซึ่งงบก้อนนี้ดึงมาจากงบประมาณสำหรับการต่อสู้กับกลุ่มตอลิบาน ในอัฟกานิสถาน
แต่หลังจากที่ Human Rigth Watch องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ได้ออกมาเผยแพร่รายงานถึงคุกลับว่ามีจัดตั้งในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย ทำให้รัฐบาลไทยได้ทำหนังสือยืนกรานให้สหรัฐ ปิดคุกลับที่ดำเนินการอยู่ ในเดือนมิถุนายน 2546 โดยแกนนำผู้ก่อการร้ายทั้ง 2 คน ได้ถูกส่งตัวไปยังคุกลับในประเทศแถบยุโรปตะวันออก ซึ่งยังดำเนินกิจกรรมดังกล่าวมาจนถึงปัจจุบัน
มีกระแสข่าวว่า คุกลับ ตั้งอยู่ในฐานทัพอากาศสหรัฐ บางกระแสข่าวก็ว่า ตั้งอยู่ที่สนามบินอู่ตะเภาบางก็ว่า อยู่ที่อุดรธานี จะจริงหรือไม่จริง กระแสข่าวเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ลึกลับจริงๆ ราวกับกระแสข่าว เรื่องการตั้ง “AREA 51” ที่ยังไม่สามารถถอดรหัสได้ว่า มีอยู่จริง หรือเป็นเพียงแค่การกุข่าวเพื่อดิสเครดิตรัฐบาลไทย


ปล. โปรดขี่จักรยานและดูดยาคูลท์ไปด้วยขณะเสพข้อมูล

ขอบคุณข้อมูลจาก www.oknation.net


READ MORE

วิจัยพบ! ดื่มกาแฟช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

ผลการศึกษาจากสถาบันวิจัยในสหรัฐฯพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วหรือมากกว่านั้น อาจช่วยลดความเสี่ยงในการพัฒนาของโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้
ผลการศึกษาที่นำออกเผยแพร่บนวารสารมะเร็งระบาดวิทยา สิ่งบ่งชี้ทางชีววิทยาและการป้องกัน ที่ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นสตรีพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟวันละ 4 ถ้วยหรือมากกว่านั้น มีความเสี่ยงในการพัฒนาของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ได้มากกว่าผู้ที่ดื่มน้อยกว่า 1 ถ้วยต่อวัน

ทั้งนี้ โดยทั่วไปผู้หญิงที่ไม่ว่าจะดื่มกาแฟหรือไม่ อาจมีการพัฒนาไปสู่การเป็นโรคมะเร็งได้ค่อนข้างน้อย โดยในรอบกว่า 26 ปีที่ผ่านมา มีสตรีจำนวนเพียง 672 รายจาก กลุ่มศึกษา 67,000 รายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

นักวิจัยได้สำรวจพยาบาลกว่า 67,000 คนในสหรัฐฯ พบว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟมากมีโอกาสลดลง 25 % ที่จะเป็นมะเร็งที่มดลูกเมื่อเปรียบเทียบกับสตรีที่ดื่มกาแฟโดยเฉลี่ยน้อยกว่าวันละ 1 แก้ว นักวิจัยยังไม่สามารถสรุปได้ว่ากาแฟคือสาเหตุที่ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลดลง  แต่ผลการศึกษาชิ้นนี้ได้ตอกย้ำผลการศึกษาหลายชิ้นก่อนหน้านี้ที่ให้ผลในลักษณะคล้ายคลึงกัน

นายเอ็ดเวิร์ด โจวานนุชชี นักวิจัยอาวุโสคณะสาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด กล่าวว่ากาแฟโดยตัวเองอาจมีประโยชน์บางประการ โดยสามารถลดระดับของอินซูลินและฮอร์โมนเอสโตรเจนที่หมุนเวียนในร่างกาย  ซึ่งทั้งสองชนิดมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

นักวิจัยทำการสำรวจปัจจัยอื่นๆ ที่จะมีผลต่อการเป็นมะเร็ง เช่น น้ำหนักตัว ประวัติตั้งแต่แรกเกิด การใช้ฮอร์โมนหลังวัยหมดประจำเดือน  ยาเม็ดคุมกำเนิด แต่ทั้งหมดไม่ได้ทำให้ความเสี่ยงเป็นมะเร็งลดลงในหมู่คนที่ดื่มกาแฟ

นักวิจัยเตือนว่า การดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วอาจไม่เป็นผลดีนัก โดยเฉพาะกับผู้ที่มีร่างกายอ่อนไหวต่อการได้รับสารคาเฟอีน  และแม้นักวิจัยพบว่า กาแฟที่สกัดสารคาเฟอีนทำให้ความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่ำลง แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลยืนยันที่ชัดเจนทางสถิติ และในทางทฤษฎี  การใส่น้ำตาลและครีมในกาแฟก็จะทำให้อ้วน ซึ่งความอ้วนคือปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง

ขอบคุณ สยามดารา


READ MORE


เครียดจากงาน โอกาศเสี่ยงเป็นโรคหัวใจสูง!

หากต้องทำงานที่มีความรับผิดชอบสูง แต่ขาดการควบคุมอารมณ์ที่ดี อาจส่งผลให้ป่วยเป็นโรคถึงขั้นเสียชีวิตได้
การศึกษาที่ทำการวิเคราะห์ผลการศึกษาในยุโรปที่มีอยู่แล้ว 13 ชิ้น ที่ศึกษากลุ่มตัวอย่างกว่า 200,000 คน ที่มีงานทำและไม่มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเส้นเลือดตีบตันใน 7 ประเทศของยุโรป พบว่า "ความเครียดในงาน" มีส่วนเชื่อมโยงต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวาย และเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ที่เพิ่มขึ้นถึง 23%

แม้ความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากโรคหัวใจจะน้อยกว่าการสูบบุหรี่หรือการไม่ออกกำลังกายค่อนข้างมาก แต่ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์แลนเซ็ต  ระบุว่า พนักงานที่มีความเครียดในที่ทำงาน มีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคหัวใจ มากกว่าความเครียดที่เกิดจากรณีอื่น ๆ

มูลนิธิหัวใจอังกฤษ เผยว่า ประเด็นสำคัญของการศึกษาครั้งนี้คือ เพื่อที่จะทราบถึงวิธีการรับมือต่อปัญหาในที่ทำงานได้อย่างไร โดยทีมนักวิจัยจากยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ กรุงลอนดอน เผยว่าการทำงานในทุกสาขาอาชีพอาจนำไปสู่ภาวะเครียดได้ง่าย โดยเฉพาะอาชีพที่ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางจะเกิดความเครียดได้ง่ายกว่าอาชีพที่ไม่ต้องใช้ทักษะมากนัก เช่นแพทย์ที่ต้องตัดสินใจรักษาคนไข้จะมีความเครียดมากกว่าคนงานในโรงงาน
 
เมื่อศึกษาผลการศึกษาทั้ง 13 ชิ้นที่มีอยู่แล้วพบว่า ในช่วงต้นของการทำวิจัย กลุ่มตัวอย่างจะได้รับคำถามว่า พวกเขาได้รับงานมากเกินไปหรือไม่มีเวลาเพียงพอในการทำงานหรือไม่ หรือคำถามที่ว่าพวกเขามีเสรีภาพในการตัดสินใจในงานที่ทำมากเพียงใด ก่อนที่จะมีการแบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม คือเครียดและไม่เครียด  ซึ่งพบว่าความเครียดในงานมีส่วนเกี่ยวข้องเล็กน้อย ทว่าเชื่อมโยงกับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
 
นักวิจัยกล่าวว่า การลดความเครียดในการทำงานได้ จะช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ร้อยละ 3.4 และมากถึงร้อยละ 36 หากหยุดสูบบุหรี่
 
มหาวิทยาลัยลอนดอนคอลเลจ ระบุว่า พนักงานที่ทำงานภายใต้ความเครียดมากๆ ในที่ทำงานประมาณร้อยละ 23 มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน และโรคหัวใจในอนาคตได้


ขอบคุณ มติชนออนไลน์ 
READ MORE