คลิปฮาๆ ขนแรงไปหน่อย รถถังหงายท้อง

Posted by dddasd On วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555 0 ความคิดเห็น
คลิปฮาๆ ขนแรงไปหน่อย รถถังหงายท้อ


ขอบคุณ Youtube.com
READ MORE

แหล่งผลิตกาแฟที่มีชื่อเสียง...ที่สุดในโลก
จาไมกา เป็นแหล่งผลิตกาแฟที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก บลูเมาน์เทน ซึ่งปลูกบนยอดเขาสูง ผลผลิตเกือบทั้งหมดถูกส่งออกไปประเทศญี่ปุ่น และที่เหลืออีกเล็กน้อยถูกส่งไป สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, และเยอรมนี ยี่ห้อที
่มีชื่อเสียงคือ ไฮเมาน์เทนซูพรีม (Hign Mountain Supreme) และ ไพรม์วอชท์จาไมกัน (Prime Washed Jamaican)

บราซิล ผลิตกาแฟเป็นอันดับ 1 ของโลก ยี่ห้อมีชื่อคือ บราซิเลียน ซานโตส (Brazillian Santos)

โคลัมเบีย ผลิตกาแฟเป็นอันดับ 2 ของโลก กาแฟที่มีชื่อคือ ซูรีโม (Suremo)

ฮาวาย กาแฟขึ้นชื่อคือ โคน่า (Kona)

อินโดนีเซีย ชวา วิธีการเฉพาะของที่นี่คือ การบ่มในโกดังพิเศษเพื่อให้เมล็ดกาแฟเปลี่ยนสี และมีรสชาติที่ดี สุมาตรา ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่า กาแฟแมนเฮลิงและอันโกลาของชวา มีรสชาติดีกว่าบลูเมาน์เทนและโคน่าเสียอีก

อินเดีย มีกาแฟรสชาติเฉพาะตัว ชื่อมอนซูน มาลาบาร์ (Monsooned Malabar)

เอธิโอเปีย ประชากร 1 ใน 4 ของประเทศมีรายได้จากอุตสาหกรรมกาแฟ กาแฟที่นี่มีลักษณะเฉพาะเนื่องจากมีกาแฟป่าปะปนอยู่ แต่นี่ก็เป็นสาเหตุให้รสชาติมีความไม่แน่นอนสูงด้วยเช่นกัน กาแฟที่มีชื่อเสียงคือ ฮารา ลองเบอรี่ (Harrar Longberry), ซีดาโม (Sidamo), และคาฟฟา (Kaffa)

เคนยา พิถีพิถันเรื่องคุณภาพมาก กาแฟที่มีคุณภาพที่สุดคือ เคนยา AA (Kenya AA)

เวียดนาม ส่งออกกาแฟได้เป็นอันดับ 3 ของโลก

สำหรับประเทศไทยปลูกกาแฟโรบัสต้า ร้อยละ 98 โดยมากปลูกทางภาคใต้เช่น กระบี่ และชุมพร อีกประมาณร้อยละ 2 เป็นกาแฟอราบิก้าซึ่งปลูกมากตามดอยต่างๆ ทางภาคเหนือ กาแฟที่มีชื่อเสียงของไทยได้แก่ กาแฟดอยช้าง ซึ่งปลูกบนดอยช้าง จังหวัดเชียงราย ถือว่าเป็นกาแฟได้จากกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานระดับสากล และรสชาติดีเทียบเคียงกับกาแฟที่มีชื่อเสียงของโลก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก anatomy.dent.chula.ac.th
READ MORE

' เอ๊ะ ! ทำไมต้องเรียกว่า " HOTDOG " กันนะ ?

ไส้กรอกที่เป็นที่นิยมกันมากที่สุดประเภทหนึ่งในเยอรมนี คิดค้นขึ้น โดยชาวเมือง
แฟรงเฟิร์ต ไส้กรอกนั้นจึงมีชื่อเรียกว่า แฟรงเฟอเตอร์ หรือเรียกสั้นๆ ว่า "แฟรงค์ "
มีขนาดหนา นุ่ม ใส่เ

ครื่องเทศและรมควันอย่างดีมีรูปร่างโค้งเล็กน้อย
คล้ายรูปร่างของสุนัขดัชชุนด์ จนบางคนเรียกไส้กรอกประเภทนี้ว่า "ไส้กรอกดัชชุนด์ "
เล่ากันว่าผู้คิดไส้กรอกประเภทนี้เลี้ยงสุนัขดัชชุนด์ไว้หนึ่งตัว จึงเกิดความคิคว่า
ไส้กรอกที่มีรูปร่างเหมือนสุนัขตัวโปรดนี้จะเป็นที่นิยมของตลาดด้วย :D

ในปี 1906 นักวาดการ์ตูนชื่อ โทมัส ดอร์แกน ได้แรงบันดาลใจจากรูปร่างที่โค้งงอคล้ายสุนัขดัชชุนค์ของไส้กรอก และจากเสียงพ่อค้า"เห่า" ตะโกนเรียกคนซื้อ
จึงได้วาดรูปสุนัขดัชชุนด์ราดด้วยมัสตาร์ดประกบด้วยขนมปัง
และเขียนบรรยายใต้รูปว่า “ซื้อหมาร้อน ๆ จ้า" (“Get your hot dogs! )

เล่ากันว่าดอร์แกนไม่สามารถสะกดคำว่า ดัชชุนด์ได้ถูกต้อง จึงใช้คำว่าหมา (dog)
แทน ปรากฏว่าคำว่า" ฮอตดอก" กลายเป็นคำที่ติดปากคนอเมริกันทั่วไป จนเลิกเรียกไส้กรอกด้วยคำอื่น ๆ และยังทำให้ชาวโลกคิดว่า" ฮอตดอก" เป็นอาหารที่คนอเมริกันคิดขึ้นมาอีกด้วย


ขอขอบคุณ : http://pbmath.exteen.com/
READ MORE

เผย! 10 อันดับ ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก

Posted by dddasd On วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555 0 ความคิดเห็น

เผย! 10 อันดับ ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก

อันดับ 10. Ethiopia
รายได้ต่อหัวต่อปี 700 เหรียญสหรัฐ
10 ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก
ประเทศ เอธิโอเปีย อยู่ในอันดับที่ 170 จาก 177 ของดัชนีประเทศยากจน ครึ่งหนึ่งของผลผลิตมวลรวมขึ้นอยู่กับภาคการเกษตร เนื่องจากขาดแคลนเทคโนโลยี ใช้วิธีเพาะปลูกที่ล้าสมัย จึงทำให้ผลผลิตในภาคการเกษตรต่ำลงและผลมาจากสภาพอากาศไม่อำนวย 50% ของประชากรจำนวน 74.7 ล้านคน มีฐานะยากจน อีก 80% มีชีวิตรอดด้วยการขอรับบริจาคอาหาร ผู้ชายเพียง 47 % และผู้หญิง 31 % ที่สามารถอ่านออกเขียนได้ ประชากรบางส่วนของ เอธิโอเปีย มีความเสี่ยงต่อ ตับอักเสบ A, ตับอักเสบ E, ไข้ไทรอยด์, มาลาเรีย, โรคพิษสุนัขบ้า, เยื่อหุ้มสมองอักเสบม และ schistosomiasis
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 9. Niger
รายได้ต่อหัวต่อปี 700 เหรียญสหรัฐ

ไนเจอร์ หนึ่งใน ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก มีประชากร 12.5 ล้านคน ฝน คือ สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสภาวะขาดแคลนอาหาร 63% ของประชากร อาศัยอยู่ด้วยเงินจำนวนต่ำกว่า 1 เหรียญสหรัฐต่อวัน ผู้ใหญ่สามารถอ่านออกเขียนได้เพียง 15% ผู้คนส่วนมากเสียชีวิตจาก ตับอักเสบ A, ท้องร่วง, มาลาเรีย, ไข้สมองอักเสบ, และไข้ไทรอยด์
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 8. Central African Republic
รายได้ต่อหัวต่อปี 700 เหรียญสหรัฐ
สาธารณรัฐอัฟริกากลาง อยู่ในลำดับที่ 171 ของประเทศยากจน เกษตรกรรมคืออาชีพหลักที่พยุงเศรษฐกิจ ประชากรมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเอดส์
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 7. Guinea-Bissau
รายได้ต่อหัวต่อปี 600 เหรียญสหรัฐ
ประเทศ กีนี บิสเซา ชื่ออาจไม่คุ้น แต่รู้ไว้ว่าพี่เค้ายากจนอันดับที่ 172 อาชีพสำคัญคือการทำไร่และประมง รายได้ของประชากรไม่เท่ากัน ต่างกันไปตามแต่ละภาคของประเทศ ประมาณ 10% ของผู้ใหญ่มีความเสี่ยงต่อโรคเอดส์
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 6. Union of the Comoros
รายได้ต่อหัวต่อ ปี 600 เหรียญสหรัฐ
สหภาพโคโมโรส ประชากรส่วนใหญ่ไม่มีงานทำ จึงส่งผลให้ภาพรวมของเศรษฐกิจย่ำแย่ และด้วยความหนาแน่นของประชากร 1,000 คนต่อตารางกิโลเมตร เป็นผลให้สภาพแวดล้อมวิกฤต กระทบต่อการเกษตร ประมาณ 40% มีระดับการศึกษาต่ำ ทำให้ขาดแคลนแรงงานที่มีศักยภาพ สรุปความเป็นอยู่ของผู้คนขึ้นอยู่กับเงินช่วยเหลือจากนานาชาติ!
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 5. Republic of Somalia
รายได้ต่อหัวต่อปี 600 เหรียญสหรัฐ
ภาคการเกษตรคือหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจ แห่ง สาธารณรัฐโซมาเลีย ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของแอฟริกา ประชากรส่วนใหญ่เร่ร่อน อยู่ไม่เป็นที่ อาชีพหลัก คือ การทำปศุสัตว์ อุตสาหกรรมทางการเกษตรให้ผลผลิตมวลรวมเพียง 10% ของทั้งหมด
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 4. The Solomon Islands
รายได้ต่อหัวต่อปี 600 เหรียญสหรัฐ
หมู่เกาะโซโลมอน เป็นประเทศในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ เศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการประมงเป็นหลัก กว่า 75% ของแรงงานประกอบอาชีพประมง ไม้คืออุตสาหกรรมหลักมาจนถึง ค.ศ. 1998 กระทั่งน้ำมันปาล์กับมะพร้าว กลายเป็นสินค้าส่งออก หมู่เกาะโซโลมอล มีแร่ธาตุมากมาย เช่น สังกะสี ตะกั่ว ทองคำ และนิกเกิล
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 3. Republic of Zimbabwe
รายได้ต่อหัวต่อปี 500 เหรียญสหรัฐ
อีกหนึ่งที่ยกให้เป็น ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก สาธารณรัฐซิมบัพเว ตั้งอยู่ระหว่าง แม่น้ำ Limpopo และ Zabezi ในแอฟริกาใต้ เศรษฐกิจหยุดชะงักเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ บวกกับขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ รวมถึงการที่ ซิมบัพเว ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจทรุดตัวของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ทำให้อัตราการตกงานของประชากรสูงถึง 80%
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 2. Republic of Liberia
รายได้ต่อหัวต่อปี 500 เหรียญสหรัฐ
สาธารณรัฐไลบีเรีย อยู่ทางฝั่งตะวันตกของแอฟริกา 1 ใน 10 ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก เหตุเพราะการส่งออกพืชผลที่ลดลง นักลงทุนหดหาย ขโมยชุม คนรุมแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรเพชรอย่างไม่ยุติธรรม และการค้ากำไรเกินควรในช่วงสงครามกลางเมือง ค.ศ. 1990 ทำให้เศรษฐกิจของ ไลบีเรีย ทรุดตัว ส่งผลให้การกู้เงินจากต่างประเทศมีมากกว่าผลผลิตมวลรวม
ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อันดับ 1. Republic of the Congo
 รายได้ต่อหัวต่อปี 300 เหรียญสหรัฐ
มาถึง ประเทศที่ยากจนที่สุดของโลก กับ สาธารณรัฐคองโก ประเทศแถบแอฟริกากลาง ที่อดอยากยากแค้น เพราะการเสื่อมค่าของเงินฟรังค์ อัตราเงินเฟ้อเพิ่มระดับสูง ใน ปี ค.ศ. 1994 ความวุ่นวายจากสงครามกลางเมือง และราคาน้ำมันที่ตกต่ำใน ปี ค.ศ. 1998 ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศย่อยยับ
ข้อมูล : www.hottnez.com เรียบเรียง : travel.mthai.com
READ MORE
                                       

ไปดู 5 วิธี ลืมแฟนเก่า ได้อย่างไร?

1. นึกถึงเรื่องไม่ดี ที่เค้าเคยทำกับเราไว้ 
ทุกคนต้องมีทั้งข้อดีและข้อเสียทั้งนั้น แต่ถ้าเราตัดสินใจเลิกกับเค้าไปแล้ว ก็แปลว่าข้อเสียของเค้านั้นเป็นสิ่งที่เรารับไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อนึกถึงเค้า ก็ต้องข่มใจตัวเองและกลับมาทบทวนสิ่งต่างๆที่เค้าเคยทำกับเราไว้ และให้มองความเป็นจริงว่า คบกันต่อไปยังไงก็เลิกกันในอนาคตอยู่ดี เพื่อจะไม่ให้เกิดความอาวรณ์ต่อเค้ามากเกินไป

2. อย่าติดต่อกับเขาอีก
อย่ารับโทรศัพท์ และอย่าตอบกลับไม่ว่าจะเป็นช่องทางใดก็ตาม เมื่อเรายังติดตามถามไถ่ สารทุกข์ สุขดิบ ของเค้าเราคงลืมเค้าไม่ได้แน่ๆ เพราะฉะนั้นหักดิบ คิดซะว่าเราไม่เคยรู้จักกัน (โหดไปป่ะ)

3. หากิจกรรมที่มีประโยชน์ทำ
ชวนก๊วนเพื่อนไป เล่นกีฬา ดูหนัง ฟังเพลง ผ่อนคลายสมองจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว แถมยังได้สุขภาพที่ดีกลับมาอีกด้วย

4. อย่านั่งมองฝนตก
การนั่งมองฟ้าฝนตกพรำๆ เหมือนกำลังถ่ายมิวสิกวีดีโออยู่ มันจะทำให้ยิ่งอยากร้องไห้เข้าไปใหญ่ แต่ร้องไห้แบบนี้ไม่มีคนมาเช็ดน้ำตาหรอกนะ เพราะคุณไม่ใช่พระเอกนางเอกแบบในเอมวีน่ะสิ อย่าหวังกับการนั่งมองฝนตกเลย ไปหาอย่างอื่นทำดีกว่า

5. พยายามอย่าไปในที่ที่เคยไปด้วยกัน หนีให้ห่างเลยสถานที่เหล่านี้ เพราะความรู้สึกเดิมๆ ความรู้สึกดีๆ จะกลับมา เมื่อเราตั้งใจจะลืมก็ต้องหักใจ ( ยังเดินผ่านทู้กกวัน ที่ที่เราพบกัน..เมื่อก่อน โว้ เย )

ปล.
[แฟนเก่า] อย่าทิ้งเราไปนะ Smooth เธอลืมไปแล้วเหรอที่เธอบอกว่ารักฉันมากที่สุด 


READ MORE

มาทำความรู้จัก "รูทเบียร์"
ประวัติของรูทเบียร์แบ่งได้เป็นสองทฤษฎี 

1. รูทเบียร์ปรากฎในนิยายของเช็คสเปียร์หลายครั้ง ในลักษณะของเบียร์ แต่รสอ่อนและบางกว่า และมีแอลกอฮอล์น้อยกว่า ทำจากสมุนไพร และผลเบอร์รี่ บางคนก็เรียกมันว่า เบิร์ช เบียร์, ซาร์สปาริลล่า เบียร์ หรือจินเจอร์ เบียร์ และมันเป็นที่นิยมมากช่วงยุคทศวรรษที่ 18 ในหมู่ชาวไร่ชาวนา โดยเฉพาะในช่วงมีปาร์ตี้ หรือการพบปะสังสรรค์สมาคมกั

2. รูทเบียร์เกิดขึ้นโดยบังเอิญจากเภสัชกรคนหนึ่ง ที่กำลังคิดค้นสูตรในการผลิตยาที่ทำจากสมุนไพร เมื่อนำรากของเบอร์รี่มาผสมกับสมุนไพรหลายชนิดมาผสมกัน ก็กลายมาเป็นรูทเบียร์ที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ สูตรของรูทเบียร์ในตอนแรกนั้น ประกอบด้วยสมุนไพรหลายชนิด ในตอนแรกรสชาติของมันค่อนข้างขม เพราะมาจากสมุนไพรล้วนๆ และเป็นน้ำที่ช่วยในเรื่องสุขภาพ แต่ก็ไม่เป็นที่ยอมรับในตลาดนัก

ต่อมา ชาร์ลส์ ไฮเรส เภสัชกรอีกคนหนึ่งได้พบสมุนไพรจากน้ำชา เมื่อนำมาผสมกับรูทเบียร์เดิม และผลเบอร์รี่อีกหลายชนิด น้ำชนิดนี้เริ่มกลายเป็นที่นิยมมากขึ้น ในปี 1893 ก็ได้มีการผลิตออกขาย และกลายเป็นรูทเบียร์ในเวลาต่อมา

สำหรับรูทเบียร์ในปัจจุบัน ไม่มีสูตรที่ตายตัว เพราะตั้งแต่เมื่อก่อนมันก็มีส่วนผสมมากอยู่แล้ว แต่ที่เราดื่มกันส่วนมากจะเกิดจากการผสมของรสชาติที่หลากหลาย น้ำตาล และก๊าซคาร์บอน ฯลฯ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก tn.essortment.com, dek-d.com


READ MORE

สุดยอดเครื่องเล่นตื่นเต้น ดีที่สุด แรงที่สุด เจ๋งที่สุดในโลก3/6

ก็เหมือนกับชื่อของมัน มันจะลากคุณลงมาพบกับสุดยอดความตื่นเต้นสุดขีด จากความสูงที่ระดับ 120 เมตร ด้วยความเร็วกว่า 193 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในการปรากฎตัวครั้งแรกในปี 2003 Top Thrill Dragster ถือว่าเป็นรถไฟเหาะที่ เร็วที่สุดในโลก และ สูงที่สุดในโลก แต่หลังจากการปรากฏตัวของ Kingda Ka ทำใ้ห้ปัจจุบัน Top Thrill Dragster เ
ป็น รถไฟเหาะ สูง และ เร็วที่สุดในโลก เป็น อันดับ2 ในปี 2008 มีผู้เล่นได้สัมผัสกับประสบการณ์นี้กว่า 1.2 ล้านคน

เตรียมพบกับประสบการณ์ ความตื่นเต้นสุดขีด จากการดิ่งลงจากความสูงที่ 120 เมตร ด้วยความเร็ว 193 เมตร/ชั่วโมง

ที่มา http://wowboom.blogspot.com/
READ MORE

การดูแลผิวของ "ผู้ชาย" ในแต่ละวัย

ตอนนี้ผู้ชายหลายๆคนเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพผิวเพิ่มมากขึ้นไม่เฉพาะแต่หนุ่มแอบสาวเท่านั้นนะคะ อาจเป็นเพราะสาวๆเองก็มักสนใจผู้ชายที่ดูแลตัวเองบ้างไรบ้างมากกว่าคนที่ปล่อยตัว แบบว่าธรรมชาติเกิ๊น ผมหน้าหนวดเคราไม่เคยดูแลอะไรงี้ก็ไม่ไหว เคที่เลยอยากแนะนำการดูแลผิวผู้ชายแต่ละวัยให้อ่านกัน ด้วยสภาพผิวที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละช่วงอายุ ทำให้การดูแลผิวผู้ชายในแต่ละวันแตกต่างกันออกไป

ดูแลผิวผู้ชายวัยรุ่น
วัยนี้มันจะพบแต่ปัญหาเรื่องสิว ซึ่งเกิดจากฮอร์โมนที่กำลังเปลี่ยนแปลง เป็นตัวกระตุ้นต่อสร้างไขมันบริเวณรูขุมขนให้ผลิตไขมันออกมามากขึ้น เมื่อรวมเข้ากับมลภาวะรอบตัวลากรดูแลความสะอาดไม่ถูกวิธี โอกาสเกิดสิวก็จะมีมากยิ่งขึ้น
วิธีการดูแลผิวผู้ชายวัยนี้ คือ ควรทำความสะอาดผิวให้หมดจนด้วยโฟมหรือสบู่ล้างหน้า หากมีเหงื่อก็ควรล้างหน้าให้สะอาด วัยนี้ควรเริ่มต้นทาครีมกันแดดเมื่ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง และบำรุงผิวด้วยมอย์เจอไรเซอร์ สำหรับหนุ่มผิวแห้ง เพื่อเป็นการชะลอริ้วรอยก่อนวัยที่จะมาเยือน เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น
ดูแลผิวผู้ชายแต่ละวัย
ดูแลผิวผู้ชายวัยทำงาน
ข้อได้เปรียบของผู้ชายวันทำงานคือ ฮอร์โมนเพศขายจะสร้างต่อมไขมันมากกว่าผู้หญิง จึงทำให้ผิวผู้ชายดูชุ่มชื้นแม้จะไม่ได้บำรุงอะไรมาก แต่ก็ต้องระวังปัญหาผิวที่จะเกิดจากความเครียด ทำให้เกิดความผิดปกติกับร่างกาย ทั้งกล้ามเนื้ออ่อนแอลง หงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ ซึ่งก็จะทำให้เกิดอาการใต้ตาดำคล้ำ ผิวไม่สดใส
วิธีการดูแลผิวผู้ชายวัยนี้ ควรเพิ่มขั้นตอนในการทำความสะอาดให้มากขึ้น ใช้โทนเนอร์เพื่อปรับสภาพผิว กระชับรูขุมขน และใช้มอยส์เจอไรเซอร์เพิ่มความชุ่มชื้น ป้องกันการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ส่วนจะบำรุงเพิ่มเติมอื่นๆ ก็แล้วแต่ปัญหาผิวของแต่ละคน
ดูแลผิวผู้ชายแต่ละวัย
ดูแลผิวผู้ชายรุ่นใหญ่
ผู้ชายตั้งแต่วัน 40 ปีขึ้นไป จะเป็นวัยที่ผิวเริ่มโรยรา ยิ่งเมื่อเข้าสู่วัยทอง ฮอร์โมนเพศชายก็จะยิ่งน้อยลง จึงทำให้ผิวของหนุ่มใหญ่วันนี้มีริ้วรอยที่เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนวิธีการดูแลผิวผู้ชายวัยนี้ หากต้องออกแดดมากๆ ก็ต้องทาครีมกันแดดที่มี SPF สูงๆ ที่กันได้ทั้ง UVA และ UVB เพราะจะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวหนังเหี่ยวย่นดูแก่ก่อนวัย นอกจากนั้น ยังเป็นการดูแลจากจิตใจภายใน การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนอย่างเพียงพอ พร้อมทั้งทาครีมบำรุงผิวให้ผิวชุ่มชื้น ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้นได้
เครดิต: M2F


READ MORE

มาดู 10 ข้อสำหรับการดูแลสุขภาพท่านชาย

Posted by dddasd On วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555 0 ความคิดเห็น



มาดู 10 ข้อสำหรับการดูแลสุขภาพท่านชาย

คุณผู้ชายทั้งหลายมีส่วนคล้ายเด็กอยู่เหมือนกัน  ตรงที่ว่าต้องมีเทคนิคโน้มน้าวใจเสียหน่อยถึงจะยอมคล้อยตามหรือลงมือทำอะไรสักอย่าง  ทั้งๆที่รู้ว่าสิ่งนั้นดีกับตัวเอง 

          ฉะนั้นไม่ว่าคุณจะอยู่ในบทบาทใด  จะเป็นคุณแม่  คนรัก  พี่สาว  น้องสาว  หรือลูกสาวของพ่อ  เรามีวิธีดีๆมาบอกกัน  เพื่อช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้  “ ผู้ชายของคุณ ”  มีสุขภาพดียิ่งขึ้นค่ะ

1.   หนึ่งแก้วหลังตื่นนอน 
         ตื่นให้เช้าอีกสัหน่อย  แล้วเตรียมน้ำเปล่าหนึ่งแก้ววางไว้บนหัวเตียงหรือในจุดที่คุณผู้ชายที่ตื่นมาแล้วมองเห็นได้ง่าย  การดื่มน้ำทันทีหลังตื่นนอนนั้นดีต่อสุขภาพ ( ควรดื่มก่อนแปรงฟัน ) เพราะน้ำลายในปากจะมีแบคทีเรียที่ดีต่อลำไส้ช่วยเรื่องการขับถ่าย  และยังช่วยลดความเสี่ยงเรื่องต่อมลูกหมากอักเสบ  วิธีง่ายๆอย่างนี้จึงเป็นการเพิ่มโอกาสการดื่มน้ำช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดชื่น  เพื่อเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างดี

2.   อย่าพลาดอาหารเช้า
         ไม่ว่าคุณจะวุ่นวายแค่ไหน  ก็อย่าให้เขาพลาดมื้อเช้าเพราะการกินมื้อเช้าช่วยลดความเสี่ยงสุขภาพไปได้เยอะ  ทั้งเรื่องหลอดเลือดอุดตัน  โรคหัวใจ  และอัลไซเมอร์  ลองดัดแปลงอาหารเช้าทำง่ายๆได้สุขภาพมาแทน เช่น แซนวิชทูน่าหรือปลากะพงอบ  ไข่คนใส่มะเขือเทศ ฯลฯ หากไม่มีเวลามาก  คุณอาจซื้ออาหารหรือทำเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนเข้านอน  เช่น อบปลาแซลมอนหรือปลากะพงเพื่อเป็นไส้แซนด์วิช  ต้มซุปไก่ใส่มันฝรั่งแล้วเก็บเข้าตู้เย็นก่อนกินมื้อเช้าก็นำมาอุ่นกินได้ทันที  เริ่มต้นวันอย่างดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วจริงไหมคะ

3.   เตรียมผลไม้ให้กินง่าย
         การมีผลไม้วางใส่ตะกร้า  บางทีก็ไม่เร้าใจเพียงพอให้คุณผู้ชายหยิบมากินหรอกนะคะ  คุณอาจต้องหั่นเป็นชิ้นใส่กล่องเก็บไว้ในตู้เย็น หรือใส่จานเสิร์ฟหลังมื้ออาหารการอยู่ใกล้มือและกินง่ายจะช่วยให้เขากินผลไม้ได้มากขึ้น  แต่ถ้าจะให้ดีลองดัดแปลงผลไม้ที่เขาชอบมาเป็นของว่าง  เครื่องดื่มรูปแบบต่างๆดู เช่นสมู้ธตี้  ผลไม้ลอยแก้ว  ฟรุตสลัด ฯลฯ  น่าจะทำให้การกินสนุกและอร่อยยิ่งขึ้น

4.   ชวนกันไปออกกำลังกาย
         อย่าปล่อยให้เพลินไปกับเกมคอมพิวเตอร์  หรือคร่ำเคร่งกับหน้าที่การงานเสียจนละเลยสุขภาพ  ลองเอ่ยปากชวนกันไปออกกำลังกายดูบ้าง  เลือกชนิดกีฬาที่ชอบ  คุณผู้ชายจะได้มีความยากเล่นมากขึ้น  อาจเริ่มต้นจากกีฬาง่ายๆ อย่างเช่น วิ่งจ๊อกกิ้ง  ขี่จักรยาน  รวมถึงการสมัครสมาชิกสปอร์ตคลับหรือซื้ออุปกรณ์กีฬาโปรดชิ้นใหม่ให้ด้วย  จะช่วยให้มีความตั้งใจออกกำลังกายเพิ่มขึ้น  แต่อย่าปล่อยให้เขาไปเล่นเพียงลำพังล่ะ  เพราะการมีเพื่อนไปออกกำลังกายด้วยกันนั้นได้ทั้งความสนุก  กระชับความสัมพันธ์และจะได้มีสุขภาพดีกันทั้งครอบครัว

5.  อย่าลืมครีมกันแดด
         ไม่ใช่เรื่องรักสวยรักงามเลยค่ะ  เพราะอันตรายของรังสีจากแสงอาทิตย์นั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น  อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งผิวหนังได้อย่างที่เราไม่รู้ตัว  คุณน่าจะสรรหาครีมกันแดดชนิดที่ไม่เหนียวเหนอะหนะ  อาจเป็นออยล์ฟรีหรือมีส่วนผสมหลักเป็นน้ำ ( water  base ) มาให้เขาใช้  อย่างน้อยจะได้ไม่สร้างความรำคาญให้ผิวหน้าจนเกินไป  และช่วยป้องกันอันตรายจากแสงอาทิตย์ได้ในระดับหนึ่ง

6.  กำหนดเมนูปลาไว้ทุกวัน
         คุณก็รู้อยู่แล้วว่าประหลาดีต่อสุขภาพ  คงจะดีแน่ถ้าทุกมื้ออาหารมีปลาอย่างน้อยๆหนึ่งเมนู  อาจเปลี่ยนรูปแบบการปรุงให้แตกต่างกันออกไป  ไม่ว่าจะเป็นต้มยำ  ทอดกระเทียม  นึ่งมะนาว  หรือเผา  รวมทั้งเลือกปลาหลากหลายชนิด  จะช่วยให้การกินปลาไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ  ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน  ปลาทูน่า  ปลาซาร์ดีน  ปลาแมคเคอเรล  มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ดีต่อหลอดเลือดหัวใจ  ระบบประสาท  และสุขภาพจิต  เลือกกินสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะดีมาก
7.   นวด  สัมผัสเพื่อผ่อนคลาย
         คุณผู้ชายเขาแอบกระซิบมาค่ะว่า  ไม่ได้ต้องการคนนวดระดับเซียนหรอก  แต่ถ้ากลับมาบ้านแล้วมีคนใกล้ชิดมานวดให้ผ่อนคลายเสียบ้าง  เขาจะหายเหนื่อยได้เป็นปลิดทิ้ง เพราะความเคร่งเครียดทำให้กล้ามเนื้อบริเวณบ่า  ต้นคอ  และศีรษะตึงและมีอาการเกร็ง  หากได้รับการบีบนวดสักหน่อยจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น  เทคนิคนี้คุณจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นแล้วผลัดกันนวดก็ได้  เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ  แถมยังสร้างความรู้สึกที่ดีต่อกันอย่างดีด้วย

8.  ขยันให้กำลังใจหน่อย
         คุณผู้ชายมักทำงานด้วยความมุ่งมั่น  บางครั้งก็เครียดจนชีวิตขาดสีสันและเสียงหัวเราะ  ลองเจียดเวลาส่งแมสเสจดีๆหรือข้อความอาจรวมถึงการส่งเรื่องขำขันไปให้  การได้หัวเราะแม้จะเป็นเพียงวันละครั้งก็ยังดี  เวลาอยู่ในบ้านอาจเขียนข้อความน่ารักๆ หรือความห่วงใยติดไว้ตามที่ต่างๆ เช่น ตู้เสื้อผ้า  หน้าตู้เย็น หรือที่กระจกหน้ารถ  เขาจะได้รู้ว่ายังมีคนใส่ใจและห่วงใยเขาอยู่

9.  ใส่ใจรถหน่อย
         รถก็เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง  ฉะนั้นอย่าลืมทำบ้านเคลื่อนที่หลังนี้ให้น่าอยู่  ด้วยการช่วยเขาเก็บขยะไปทิ้ง  ดูดฝุ่นในรถบ้าง  จัดของในรถให้เป็นระเบียบ  เตรียมซีดีเพลงโปรดใส่รถไว้ให้  หรือหยอดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นดีๆ ที่ช่วยบำบัดไว้ในรถแทนที่จะใช้น้ำหอมดับกลิ่น  นอกจากจะทำให้อากาศในรถดีขึข้นแล้ว  อาจจะทำให้เขานึกถึงคุณและอยากจะรีบกลับบ้านมากขึ้นก็เป็นได้

10.  หาเวลาไปต่างจังหวัดบ้าง
         ไปปลดปล่อยภาระหน้าที่การงานด้วยการออกท่องเที่ยวผจญภัยกันดีกว่าแม้ไม่ต้องมีเวลามากก็ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศได้ เพราะคุณผู้ชายเขาเบื่อเต็มทนกับการต้องใช้เวลาว่างในห้างสรรพสินค้า  คุณอาจจะลองเสนอไอเดียไปเที่ยวนี้ให้เขาเลือก  สถานที่และกิจกรรมที่จะทำร่วมกัน เช่น ไปปิกนิก  ไปปีนเขา  ดำน้ำ  หรือตกปลา  วิธีนี้น่าจะช่วยให้สมาชิกในครอบครัวได้พักผ่อนทั้งกายและใจ  ทั้งยังกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้นด้วย

ขอขอบคุณบทความจาก  นิตยสาร   HEALTH & CUISINE  กันยายน  2547
READ MORE

ประวัติ ซุนวู

Posted by dddasd On 2 ความคิดเห็น

ประวัติ ซุนวู

ซุนวู (ซุนอู่) เป็นผู้เขียนตำราพิชัยสงคราม ที่นับว่าเป็นตำรายุทธศาสตร์ทางทหาร ที่มีอิทธิพลมากของประเทศจีน และปัจจุบันยุทธศาสตร์ในตำราได้ถูกประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวางในวงการธุรกิจและการเมือง หลักการที่สำคัญเช่น รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง คาดว่าซุนวูมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล ตำราพิชัยยุทธของซุนวู ได้มีการกล่าวถึงหลายคราในนิยายเรื่อง สามก๊ก ประวัติของซุนวู คือ ในช่วง 2 ศตวรรษก่อนคริสตกาล โดยนักเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ซือหม่าเฉียน (SimaQjan)ซือหม่าเฉียนได้บรรยายถึงซุนวูว่า เป็นแม่ทัพที่อาศัยอยู่ในรัฐวู ในช่วงประมาณ 600 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งอยู่ในยุคเดียวกันกับนักปรัชญาจีนผู้ยิ่งใหญ่ ขงจื้อ อย่างไรก็ตาม ประวัตินี้ขัดแย้งกับหลักฐานอื่น ๆ ของยุคนั้น รวมทั้งลักษณะการเขียน และเนื้อหาของตำราพิชัยสงคราม ก็บ่งชี้ว่าไม่น่านจะเป็นงานที่เขี้ยนขึ้นในช่วง 400-320 ปีก่อนคริสตกาล งานเขียน ตำราพิชัยสงคราม ของซุนวูนี้ ได้ทิ้งเบาะแสเป็นนัย ๆ ถึงชีวิตของซุนวู เช่น รถม้าใช้ในการสงคราม ที่อธิบายโดยซุนวูนั้น มีการใช้เพียงแค่เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ในช่วงยุค 400 ก่อนคริสตกาล ดังนั้นจึงถือว่าบางส่วนของงานเขียนนี้ก็อยู่ในช่วงเวลานั้น นอกจาก"สามก๊ก"แล้ว "ตำราพิชัยสงครามซุนวู" อาจจะเป็นหนังสือที่มีคนแปลมากอีกเล่ม ผมไม่รู้แน่ว่ามี่กี่เวอร์ชั่น แต่รู้ว่ามีทั้งหนังสือ มีทั้งการ์ตูนและมีทั้งหนัง-ซีดี การมีหลายเวอร์ชั่นหลากรูปแบบ ผมจึงเชื่อว่า นี่เป็น"หนังสือดี" และ"มีคุณค่า"มากๆ ผมเขียนถึงหนังสือเล่มนี้ขณะอ่านฉบับที่แปลและเรียบเรียงโดย บุญศักดิ์ แสงระวี เพราะต้องการ"รู้จักตัวเอง" ในสถานการณ์ที่"ทุกอย่าง"เข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ.. เรื่องเศรษฐกิจ ต้องรู้จักตัวเองในยุคน้ำมันกำลังพุ่งแตะบาร์เรลละ 100 เหรียญ เรื่องการเมือง ต้องรู้จักตัวเองขณะกำลังจะมีการเลือกตั้ง เรื่องเหล่านี้ ลองพิจารณาหนังสือเล่มนี้...แม้จะต้อง"ตั้งรับ" แต่ผมเชื่อว่าจะตั้งรับแบบ"รุก"ไปด้วยโดยไม่เสียเปรียบ แค่ประโยคแรกๆของ"กลยุทธ์ซุนวู" คือ “รู้เขารู้เรา สู้ร้อยครั้งชนะร้อยครา” ก็เป็นคำสอนที่มีค่ามากๆ นี่คือเหตุผลที่ผมเชื่อว่า หนังสือหรือตำราเล่มนี้ มีคุณค่าสำหรับการอ่าน เพราะการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขนั้น สิ่งแรกสุดคือต้อง"รู้เรา" เหมือนคนเงินเดือนหมื่น ไม่รู้จักตัวเอง แล้วจะใช้ชีวิตแบบคนเงินเดือนแสน ...อย่างนี้รบครั้งเดียวก็แพ้...ราบคาบ ผมจึงเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้มีคุณค่าในเรื่องการทำ"สงครามธุรกิจ" หากแต่ยังมีคุณค่าในการทำ"สงครามชีวิต" เพื่อความอยู่รอดและเป็นสุข..ในบั้นปลาย รบร้อยชนะร้อย ถือว่าสุดยอด...แต่"ที่สุด"อย่าลืมว่านั่นคือ"ชนะโดยไม่ต้องรบ" กลยุทธ์ของซุนวู...มีมากถึง 36 ข้อ จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้(เลย)ที่จะนำมาใช้ได้ทั้งหมด แต่ผมก็ยังยืนยันว่า หากสามารถปรับเปลี่ยนได้ ก็มีคุณค่ามากๆ ขณะเดียวกัน เนื่องจากมี(มาก)ถึง 36 กลยุทธ์ จึงยากที่จะนำมาเผยแพร่โดยละเอียด ผมจึงขออธิบายแบบสั้นๆ จากที่จดไว้หลังอ่านหนังสือและอ่านผ่านเวบ จึงนำมาเขียนโดยไม่มีเจตนาละเมิดลิขสิทธิ์ใดๆทั้งสิ้น ทั้ง 36 กลยุทธ์...ได้แก่ กลยุทธ์ที่ 1 ปิดฟ้าข้ามทะเล ความหมายคือ (ข้าศึก)คิดว่าได้ตระเตรียมไว้อย่างพร้อมแล้ว จึงมักจะประมาท กลยุทธ์ที่ 2 ล้อมเว่ยช่วยเจ้า มีความหมายว่า เมื่อข้าศึกรวมศูนย์กำลัง ควรจะใช้อุบายดึงแยกข้าศึกกระจัดกระจาย ห่วงหน้าพะวงหลัง กลยุทธ์ที่ 3 ยืมดาบฆ่าคน ความหมายชัดเจนมาก คือยืมกำลังของคนอื่นไปทำลายศัตรู กลยุทธ์ที่ 4 รอซ้ำยามเปลี้ย กลยุทธ์นี้หมายความว่า เมื่อข้าศึกตกอยู่ในภาวะลำบาก ก็เป็นช่องให้เราพิชิตได้(ง่าย) กลยุทธ์ที่ 5 ตีชิงตายไฟ นั่นคือ เมื่อข้าศึกอยู่ในภาวะวิกฤติ ควรฉวยโอกาสรุกรบโจมตี กลยุทธ์ที่ 6 ส่งเสียงบุรพาฝ่าตีประจิม กลยุทธ์นี้คือ การหลอกลวง...เท็จลวงกับจริงแท้ พึงใช้สอดแทรกทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ กลยุทธ์ที่ 7 มีในไม่มี กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ให้ใช้ภาพลวงล่อหลอกข้าศึกเพื่อแปรเปลี่ยนจากลวงเป็นจริง กลยุทธ์ที่ 8 ลอบตีเฉินชัง หมายถึง ใช้โอกาสที่ข้าศึกตัดสินใจจะรักษาพื้นที่ แสร้งทำเป็นจะโจมตีด้านหน้า แต่เข้าจู่โจมในพื้นที่ที่ข้าศึกไม่สนใจ กลยุทธ์ที่ 9 ดูไฟชายฝั่ง กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ใช้การเปลี่ยนแปลงของข้าศึกมาเป็นประโยชน์ของตัวเอง กลยุทธ์ที่ 10 ซ่อนดาบบนรอยยิ้ม ประมาณว่า "ใช้ความสงบสยบเคลื่อนไหว" กลยุทธ์ที่ 11 หลี่ตายแทนถาว กลยุทธ์นี้หมายถึง ยอมเสีย“มืด” เพื่อประโยชน์แก่ “สว่าง” คือจำต้องเสียสละส่วนน้อย เพื่อชัยชนะส่วนใหญ่ กลยุทธ์ที่ 12 จูงแพะติดมือ กลยุทธ์นี้ก็คือ แม้ข้าศึกเลินเล่อเพียงเล็กน้อย ก็ต้องฉกฉวยผลประโยชน์มาให้ได้ แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย กลยุทธ์ที่ 13 ตีหญ้าให้งูตื่น(หรือ"แหวกหญ้าให้งูตื่น") เป็นกลยุทธ์การส่งคนสอดแนมให้รู้ชัดและกุมสภาพก่อนเคลื่อนทัพ หรือ“สงสัยพึงแจ้ง สังเกตจึงเคลื่อน” กลยุทธ์ที่ 14 ยืมซากคืนชีพ มีความหมายว่า อย่าใช้ผู้มีความสามารถอย่างผลีผลาม และผู้ที่ไร้ความสามารถก็อย่ามองข้ามเมื่อมาขอความช่วยเหลือ กลยุทธ์ที่ 15 ล่อเสือออกจากถ้ำ เป็นกลยุทธ์ดึงข้าศึกออกมาจากที่มั่น กลยุทธ์ที่ 16 แสร้งปล่อยเพื่อจับ กลยุทธ์นี้ เพื่อลดความฮึกเหิมของข้าศึก โดยเลี่ยงการบีบคั้นเพื่อป้องกัน"สุนัขจนตรอก" กลยุทธ์ที่ 17 โยนกระเบื้องล่อหยก ความถึง ใช้สิ่งที่คล้ายคลึงแต่ไร้ค่าไปล่อข้าศึก หรือ“ล่อด้วยประโยชน์” กลยุทธ์ที่ 18 จับโจรเอาหัวโจก กลยุทธ์นี้คือ เมื่อจะต้องตีข้าศึก ก็ต้องจับ"หัวหน้า"เพื่อสลายพลังของข้าศึก กลยุทธ์ที่ 19 ถอนฟืนใต้กระทะ กลยุทธ์นี้มีบอกว่า เมื่อเปรียบเทียบกำลังกับข้าศึกแล้วด้อยกว่า ก็ต้องหาทางลดกำลังของข้าศึกลง กลยุทธ์ที่ 20 กวนน้ำจับปลา เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ข้าศึกปั่นป่วนในกองทัพของตัวเอง โดยถือหลัก“เอาชัยจากคงวามปั่นป่วน” กลยุทธ์ที่ 21 จักจั่นลอกคราบ กลยุทธ์นี้หมายถึง รักษาแนวรบเยี่ยงเดิมให้ดูน่าเกรงขามเหมือนเก่า หรือการ"ลวง"ฝ่ายตรงข้าม กลยุทธ์ที่ 22 ปิดประตูจับโจร เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เมื่อข้าศึกอ่อนกำลัง แล้วโอบล้อทำลายเสีย เพื่อมิให้เป็นภัยแก่เราในภายหลัง กลยุทธ์ที่ 23 คบไกลตีใกล้ กลยุทธ์นี้หมายถึง เมื่อถูกจำกัดโดยสภาพแวดล้อมก็ต้องตีเอาข้าศึกที่อยู่ใกล้ตัว โดยไม่เป็นศัตรูกับข้าศึกที่อยู่ไกล กลยุทธ์ที่ 24 ยืมทางพรางกล หมายความว่า หากเป็นประเทศเล็กที่อยู่ในระหว่าง 2 ประเทศใหญ่ ก็ต้องทำยอมสยบเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจ กลยุทธ์ที่ 25 ลักขื่อเปลี่ยนเสา กลยุทธ์นี้หมายถึง การดึงกำลังสำคัญของฝ่ายตรงข้ามมาเป็นของเรา โดยควบคุมให้อยู่ใต้การบังคับบัญชา กลยุทธ์ที่ 26 ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว กลยุทธ์นี้ก็คือ “แกร่งจึงต้อนรับ เสี่ยงจึงยอมสยบ” กลยุทธ์ที่ 27 แสร้งทำบอแต่ไม่บ้า เป็นกลยุทธ์ที่แกล้งทำเป็นโง่ มิเคลื่อนไหว ไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม กลยุทธ์ที่ 29 ต้นไม้ผลิดอก หมายถึง ใช้แนวรบของมิตรมาสร้างแนวรบที่เป็นประโยชน์แก่เรา เพื่อทำให้เราดูใหญ่โต กลยุทธ์ที่ 30 สลับแขกเป็นเจ้าบ้าน เป็นกลยุทธ์ แทรกเข้ากุมจุดสำคัญหรือหัวใจของอีกฝ่าย กลยุทธ์ที่ 32 กลปิดเมือง กลยุทธ์นี้หมายความว่า “พิสดาร ซ่อนพิสดาร” หรือ“กลวงยิ่งทำกลวง” เพื่อลวงข้าศึก กลยุทธ์ที่ 33 กลไส้ศึก เป็นกลยุทธ์ที่ซ้อนกลสร้างแผนลวงให้ข้าศึกร้าวฉาน ระแวงสงสัยซึ่งกันและกัน กลยุทธ์ที่ 34 กลทุกข์กาย กลยุทธ์นี้ คือการทำร้ายตัวเองให้บาดเจ็บเพื่อให้ศัตรูเชื่อ กลยุทธ์ที่ 35 กลลูกโซ่ ใช้เมื่อกำลังศัตรูเข้มแข็งกว่าหลายเท่าจึงไม่สามารถปะทะด้วย จึงใช้อุบายให้ศัตรูถ่วงรั้งซึ่งกันและกัน กลยุทธ์ที่ 36 หนีคือยอดกลยุทธ์ นี่คือสุดยอดกลยุทธ์ โดยจำให้แม่นว่า “ถอยหนีมิผิด เป็นวิสัยแห่งสงคราม” ทำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายในยามที่เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และเพื่อชิงโอกาสตอบโตภายหลังมิใช่ถอยหนีอย่างพ่ายแพ้หมดรูป ตีโต้กลับมิได้อีก สุดยอดกลยุทธ์นี้ ในตำราพิชัยสงครามชื่อ “ไหวหนานจื่อ ฝึกการยุทธทหาร” เขียนว่า“แข็งจึงสู้ อ่อนก็หนี” และตำราพิชัยสงครามอีกเล่ม คือ “ปิงฝ่าหยวนจีได้” ก็กล่าวไว้ว่า “แม้นหลบแล้วรักษาไว้ได้ก็พึงหลบ” กระทั่งใน “ซุนจื่อ บทกลยุทธ์” ก็ระบุว่า “แข็งพึงเลี่ยงเสีย” ผมก็เหมือน(เกือบ)ทุกคนนั่นแหละ คือ อ่านครั้งแรกก็ไม่เข้าใจ เนื่องจากเป็น"ภาษาสงคราม" แถมเป็นสงครามในจีนอีกต่างหาก แต่หลังอ่านจากการสรุปของหลายท่านในหนังสือหลายเล่ม ทำให้ผมพอจะเข้าใจมากขึ้น และรู้ว่า การเรียนรู้"กลยุทธ์"ไม่ใช่เรื่องง่าย และสรุปว่า"ตำราพิชัยสงครามซุนวู” ไม่ใช่หนังสือท่องจำ หากแต่ต้องเข้าใจคำพูด เข้าใจความหมาย ต้องตีความเนื้อหา เพื่อนำไปปฏิบัติและพัฒนาตัวเอง การเริ่มอ่าน(หนังสือดีๆ)...จึงเป็น"ก้าวแรก" ที่ผมนึกถึงหนังสือกำลังภายในที่มีประโยคหนึ่งว่า “พื้นฐานไม่ดี ฝึกร้อยปีไม่ก้าวหน้า” และเมื่อยังไม่เข้าใจ..ก็อย่าลืมอ่านซ้ำ ...

READ MORE

มาดูแลวิธีดูแลหนังศีรษะของคุณกันดีกว่า
หนังศีรษะเป็นรากฐานของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นบนศีรษะของเรา หากหนังศีรษะดี ก็จะทำให้เส้นผมของเราดีไปด้วย ปัญหาที่เกิดขึ้นกับหนังศีรษะอื่นๆ เช่นรังแค สะเก็ดเงิน ก็จะไม่ตามมารวบกวนจิตใจชายหนุ่มอย่างเราๆ ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวคุณเองด้วยว่า จะสนใจขนาดไหน
1. สระผม 
การรักษาหนังศีรษะให้สะอาจอยู่เสมอ เป็นสิ่งสำคัญมากๆ เพราะจะช่วยขจัดสิ่งสรกปกออกจากหนังศีรษะ และ ลดการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดรังแค ใช้แชมพูอ่อนๆ สระผมวันละครั้ง พร้อมนวดหนังศีรษะก็จะช่วยทำความสะอาดหนังศีรษะได้ แต่ต้องล้างแชมพูให้หมดนะครับ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว สารบางตัวจากแชมพู อาจตกค้างที่ศีรษะและอาจก่อให้เกิดปัญหารังแคและผมร่วงตามมาได้เช่นกัน
2. นวดหนังศีรษะ
การนวดหนังศีรษะ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างมากเพราะจะช่วยเสริมการไหลเวียนของเลือดที่มาเลี้ยงหนังศีรษะ ทำให้หนังศีรษะเกิดความยืดหยุ่นลดความตึงของหนังศีรษะที่อาจเกิดสภาวะต่างๆ และยังทำให้เกิดการผ่อนคลาย เสริมการสร้างเส้นผมใหม่และยังทำให้เส้นผมเดิมมันวาว การนวดก็แค่ใช้ปลายนิ้วคลึงไปรอบๆหนังศีรษะทำสัปดาห์ละครั้ง ครั้งละ 3-4นาที
3.หลีกเลี่ยงการทำให้หนังศีรษะแห้ง 
การสระผมด้วยน้ำที่ร้อนมากเกินไป การไดร์ผม การอบผม หรือการใช้ความร้อนกับเส้นผม มีส่วนสำคัญอย่างมากในการดึงน้ำมันที่หล่อเลี้ยงผิวออกไปจากหนังศีรษะและทำให้เกิดอาการแห้งกร้าน หากคุณรู้สึกว่าหนังศีรษะของคุณแห้งเกินไป ลองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้หนังศีรษะมาใช้นะครับ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดรังแคตามมาได้
ข้อมูล sanook.com


READ MORE

ตึกที่สูงที่สุดในโลก ปี 2012

Posted by dddasd On วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555 0 ความคิดเห็น

ตึกที่สูงที่สุดในโลก ปี 2012

อันดับ 10. Two International Finance Centre, Hong Kong


ตึก Two International Finance Centre ตั้งอยู่ที่ ฮ่องกง เสร็จสมบูรณ์ในปี 2003 เป็นตึกระฟ้าสุดทันสมัยและสวยงาม ภายนอกอาคารตกแต่งด้วยกระจกสะท้อนอนาคต ความสูงอยู่ที่ระดับ 1,352 ฟุต เป็นหนึ่งในไม่กี่โครงสร้างในโลกที่มีลิฟท์สองชั้น!
ตึกที่สูงที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 9. Willis Tower, Chicago
Willis Tower หรือชื่อเดิมคือ Sears Tower ตั้งอยู่ที่ เมืองชิคาโก เป็น ตึกที่สูงที่สุดในอเมริกา ด้วยระดับความสูง 1,353 ฟุต มีการวางศิลาฤกษ์ของอาคาร 110 ชั้น แห่งนี้ ใน เดือนสิงหาคม ปี 1970 และสร้างเสร็จในปี 1973 ความพิเศษอยู่ที่ ชั้น 103 มีจุดชมวิวยื่นออกจากตัวตึก ให้นักท่องเที่ยวมองเห็นเมืองชิคาโกได้อย่างเต็มตา
ตึกที่สูงที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 8. The Trump International Hotel, Chicago
10 อันดับ ตึกที่สูงที่สุดในโลก ปี 2012
ตึกกระจกสุดมันวาว Trump International Hotel อีกหนึ่งตึกสูงระฟ้าที่อยู่ในเมืองชิคาโก มีความสูง 1,362 ฟุต ประกอบด้วย 92 ชั้น เคยติดอันดับ ตึกที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ใน ปี 2009
ตึกที่สูงที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 7. The Jin Mao Building, Shanghai, China
Jin Mao Building ตั้งตระหง่านอยู่ที่ เซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน สร้างขึ้นแทนที่ King Towerเป็น ตึกที่สูงที่สุดในเซี่ยงไฮ้ เสร็จสมบูรณ์ใน ปี 1999 ด้วยความสูง 1,380 ฟุต เป็นทั้งโรงแรม สำนักงาน สถานบันเทิง มีทั้งหมด 88 ชั้น ให้บริการด้วยลิฟท์ถึง 130 ตัว!
ตึกที่สูงที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 6. Guangzhou West Tower, China
Guangzhou West Tower ยึดตำแหน่งหนึ่งใน ตึกที่สูงที่สุดในโลก 2012 ที่ระดับ 1,444 ฟุต ตั้งอยู่ที่เมืองกวางโจว ประเทศจีน ภายในตึกระฟ้า 103 ชั้น ทำหน้าที่เป็นทั้งโรงแรม สำนักงาน และศูนย์การประชุม เปิดให้บริการในปี 2010 ตึกนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ตึกแฝด Guangzhou Twin Towers Complexซึ่ง Guangzhou East Tower จะคลอดในปี 2016
ตึกที่สูงที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 5. Greenland Financial Center, Nanjing, China
Greenland Financial Center ตึกระฟ้าแห่ง หนานจิง สาธารณรัฐประชาชนจีน มีระดับความสูงที่ 1,476 ประกอบด้วย 71 ชั้น เริ่มสร้างใน ปี 2005 เสร็จสิ้นในปี 2010 เปิดให้บริการด้านโรงแรมและสถานบันเทิง
ตึกที่สูงที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 4. Petronas Towers, Kuala Lumpur, Malaysia
ตึกที่สูงที่สุดในโลก
Petronas Towers แห่ง กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สูง 1,483 ฟุต สร้างเสร็จใน ปี ค.ศ. 1998 และครองตำแหน่ง ตึกที่สูงที่สุดในโลก จนโดนโค่นแชมป์ใน ปี 2003 ความโดดเด่นอยู่ที่ สะพานเชื่อมอาคาร ซึ่งมีน้ำหนัก 750 ตัน อยู่ที่ชั้น 42 และ 43 ปัจจุบัน Petronas Towers ยังครองแชมป์ ตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลก
ตึกที่สูงที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 3. Shanghai World Financial Center, China
ตึกที่สูงที่สุดในโลก
ด้วยความสูง 1,614 ฟุต จึงทำให้ Shanghai World Financial Center ของจีน ถูกคาดหวังว่าจะเป็นผู้ทำลายสถิติ ตึกที่สูงที่สุดในโลก จาก Petronas Towers แต่เหมือนถูกสวรรค์กลั่นแกล้งให้กระเป๋าแห้งซะก่อน การก่อสร้างเริ่มใน ปี 1997 แต่หยุดชะงักลงกลางครันไปหลายปี เนื่องจากมีปัญหาเรื่องงบประมาณ แต่เมื่อแล้วเสร็จ ก็ต้องระเห็ดตกเก้าอี้แชมป์ ไม่เป็นดังหวัง เมื่อ Taipei 101 ผงาดค้ำฟ้าในเวลาไล่เลี่ย ด้วยความสูงที่เหนือกว่า คว้าตำแหน่ง ตึกที่สูงที่สุดในโลก ตัดหน้า Shanghai World Financial Center ไปซะงั้น!
ตึกที่สูงที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 2. Taipei 101, Taiwan
Taipei 101 ตาอยู่ผู้ทำลายสถิติ ครองตำแหน่ง ตึกที่สูงที่สุดในโลก ปี 2003 ด้วยการเพิ่มยอดเสาตึกจนมีความสูง 1,676 ฟุต ตั้งตระหง่านอยู่ที่ เขตซินยี เมืองไทเป แห่ง ไต้หวัน มีทั้งหมด 91 ชั้น เป็นทั้งศูนย์บริการด้านการเงิน สำนักงาน แหล่งช้อปปิ้ง และติดอันดับ ลิฟท์สองชั้นที่เร็วที่สุดในโลก
ตึกที่สูงที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 1. Burj Khalifa, Dubai
ตึกที่สูงที่สุดในโลก ปี 2012
มาถึงแชมป์ ตึกที่สูงที่สุดในโลก ปี 2012 อย่าง Burj Khalifa แห่ง ดูไบ ความสูงเข้าวิน ด้วยระดับ 2,717 ฟุต อาคารสูง 160 ชั้น แห่งนี้ เป็นทั้งอพาร์ตเมนท์ โรงแรม สำนักงาน ภัตตาคารหรู ด้วยที่สุดของความสูงเสียดฟ้า จึงผงาดอย่างเนียนๆ เฉือนมาอีก 2 ตำแหน่ง “ลิฟท์ที่สูงที่สุดในโลก” และ “จุดชมวิวที่สูงที่สุดในโลก” คิดมาคิดไป มันก็ต้องแน่น่ะสิ ยิงปืนนัดเดียว มีเอี่ยวไปหลายแชมป์!
อย่างไรก็ตาม บนโลกที่ไม่หยุดนิ่ง ทุกสิ่งล้วนมีการเปลี่ยนแปลง ไม่รู้ว่า Burj Khalifa จะครองตำแหน่ง ตึกที่สูงที่สุดในโลก ได้นานเท่าไหร่ เพราะแว่วว่า Azerbaijan Tower กำลังจะมาพร้อมความสูงเว่อร์ 3,440 ฟุต!
ข้อมูล : www.globalgrasshopper.com เรียบเรียง : travel.mthai.com


READ MORE