คุกลับของ CIA ในประเทศไทย มีจริงหรือ ????
คุกลับ หรือ แบล็กไซต์ (Black Sites) ของ CIA (สำนักงานข่าวกรองของสหรัฐ) ในประเทศไทย ซึ่งข่าวเรื่องนี้ หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ได้เคยตีพิมพ์ข่าว ในปี 2548 ว่า CIA ได้กักขังผู้ต้องสงสัยว่าเป ็นผู้ก่อการร้ายในเหตุการณ์ วินาศกรรม 9/ 11 ไว้ใน “คุกลับ” ซึ่งถูกสร้างขึ้นในต่างประเทศ เช่น อัฟกานิสถาน หลายประเทศในยุโรปตะวันออก รวมถึงประเทศไทยด้วย
“คุกลับ” เหล่านี้ ใ
“คุกลับ” เหล่านี้ ใ
ช้กักขังเพื่อสอบสวน เหล่าผู้ก่อการร้ายเครือข่า ยอัลเคดา ที่ถูก CIA อุ้ม และจับตัวได้ในหลายประเทศทั ่วโลก เพราะกฎหมายสหรัฐ ห้ามไม่ให้จับกุม คุมขังผู้ต้องสงสัย โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรร ม และจำเลยมีสิทธิตั้งทนายเพื ่อสู้คดี แต่ผู้นำสหรัฐในขณะนั้น คือ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้ลงนามคำสั่งให้อำนาจ CIA ใช้ทุกวิธีการเพื่อยับยั้งก ารเคลื่อนไหว และแผนการก่อวินาศกรรม รวมถึงมีอำนาจอย่างเต็มที่ใ นการสอบสวนหาสาเหตุของเหตุก ารณ์ 9/11
สำหรับ “คุกลับ” ในประเทศไทย วอชิงตัน โพสต์ ระบุว่า ถือเป็นคุกลับระดับที่ 1 ระดับเดียวกับคุกลับที่อ่าว กัวตานาโม ของคิวบา และเคยใช้ควบคุมแกนนำระดับส ูงของอัลเคดา ถึง 2 คน คือ นายรัมซี บินอัลชิบห์ 1 ในผู้ร่วมวางแผนก่อวินาศกรร มในเหตุการณ์ 9/ 11 และนายอาบิน ซูบัยดะห์ หัวหน้าฝ่ายวางแผนโจมตีของอัลเ คดา
โดย “คุกลับ” ในประเทศไทย เกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าหน้า ที่ระดับสูงของ CIA ได้เดินทางเข้ามาเจรจากับทา งการไทย ประมาณกลางปี 2545 โดยใช้งบประมาณมากกว่า 1,000 ล้านบาทในการก่อสร้าง ซึ่งงบก้อนนี้ดึงมาจากงบประ มาณสำหรับการต่อสู้กับกลุ่ม ตอลิบาน ในอัฟกานิสถาน
แต่หลังจากที่ Human Rigth Watch องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ได้ออกมาเผยแพร่รายงานถึงคุ กลับว่ามีจัดตั้งในหลายประเ ทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย ทำให้รัฐบาลไทยได้ทำหนังสือ ยืนกรานให้สหรัฐ ปิดคุกลับที่ดำเนินการอยู่ ในเดือนมิถุนายน 2546 โดยแกนนำผู้ก่อการร้ายทั้ง 2 คน ได้ถูกส่งตัวไปยังคุกลับในป ระเทศแถบยุโรปตะวันออก ซึ่งยังดำเนินกิจกรรมดังกล่ าวมาจนถึงปัจจุบัน
มีกระแสข่าวว่า คุกลับ ตั้งอยู่ในฐานทัพอากาศสหรัฐ บางกระแสข่าวก็ว่า ตั้งอยู่ที่สนามบินอู่ตะเภา บางก็ว่า อยู่ที่อุดรธานี จะจริงหรือไม่จริง กระแสข่าวเรื่องนี้ก็เป็นเร ื่องที่ลึกลับจริงๆ ราวกับกระแสข่าว เรื่องการตั้ง “AREA 51” ที่ยังไม่สามารถถอดรหัสได้ว ่า มีอยู่จริง หรือเป็นเพียงแค่การกุข่าวเ พื่อดิสเครดิตรัฐบาลไทย
ปล. โปรดขี่จักรยานและดูดยาคูลท ์ไปด้วยขณะเสพข้อมูล
ขอบคุณข้อมูลจาก www.oknation.net
สำหรับ “คุกลับ” ในประเทศไทย วอชิงตัน โพสต์ ระบุว่า ถือเป็นคุกลับระดับที่ 1 ระดับเดียวกับคุกลับที่อ่าว
โดย “คุกลับ” ในประเทศไทย เกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าหน้า
แต่หลังจากที่ Human Rigth Watch องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ได้ออกมาเผยแพร่รายงานถึงคุ
มีกระแสข่าวว่า คุกลับ ตั้งอยู่ในฐานทัพอากาศสหรัฐ
ปล. โปรดขี่จักรยานและดูดยาคูลท
ขอบคุณข้อมูลจาก www.oknation.net
วิจัยพบ! ดื่มกาแฟช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
ผลการศึกษาจากสถาบันวิจัยในสหรัฐฯพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วหรือมากกว่านั้น อาจช่วยลดความเสี่ยงในการพัฒนาของโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้
ผลการศึกษาที่นำออกเผยแพร่บนวารสารมะเร็งระบาดวิทยา สิ่งบ่งชี้ทางชีววิทยาและการป้องกัน ที่ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นสตรีพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟวันละ 4 ถ้วยหรือมากกว่านั้น มีความเสี่ยงในการพัฒนาของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ได้มากกว่าผู้ที่ดื่มน้อยกว่า 1 ถ้วยต่อวัน
ทั้งนี้ โดยทั่วไปผู้หญิงที่ไม่ว่าจะดื่มกาแฟหรือไม่ อาจมีการพัฒนาไปสู่การเป็นโรคมะเร็งได้ค่อนข้างน้อย โดยในรอบกว่า 26 ปีที่ผ่านมา มีสตรีจำนวนเพียง 672 รายจาก กลุ่มศึกษา 67,000 รายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
นักวิจัยได้สำรวจพยาบาลกว่า 67,000 คนในสหรัฐฯ พบว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟมากมีโอกาสลดลง 25 % ที่จะเป็นมะเร็งที่มดลูกเมื่อเปรียบเทียบกับสตรีที่ดื่มกาแฟโดยเฉลี่ยน้อยกว่าวันละ 1 แก้ว นักวิจัยยังไม่สามารถสรุปได้ว่ากาแฟคือสาเหตุที่ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลดลง แต่ผลการศึกษาชิ้นนี้ได้ตอกย้ำผลการศึกษาหลายชิ้นก่อนหน้านี้ที่ให้ผลในลักษณะคล้ายคลึงกัน
นายเอ็ดเวิร์ด โจวานนุชชี นักวิจัยอาวุโสคณะสาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด กล่าวว่ากาแฟโดยตัวเองอาจมีประโยชน์บางประการ โดยสามารถลดระดับของอินซูลินและฮอร์โมนเอสโตรเจนที่หมุนเวียนในร่างกาย ซึ่งทั้งสองชนิดมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
นักวิจัยทำการสำรวจปัจจัยอื่นๆ ที่จะมีผลต่อการเป็นมะเร็ง เช่น น้ำหนักตัว ประวัติตั้งแต่แรกเกิด การใช้ฮอร์โมนหลังวัยหมดประจำเดือน ยาเม็ดคุมกำเนิด แต่ทั้งหมดไม่ได้ทำให้ความเสี่ยงเป็นมะเร็งลดลงในหมู่คนที่ดื่มกาแฟ
นักวิจัยเตือนว่า การดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วอาจไม่เป็นผลดีนัก โดยเฉพาะกับผู้ที่มีร่างกายอ่อนไหวต่อการได้รับสารคาเฟอีน และแม้นักวิจัยพบว่า กาแฟที่สกัดสารคาเฟอีนทำให้ความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่ำลง แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลยืนยันที่ชัดเจนทางสถิติ และในทางทฤษฎี การใส่น้ำตาลและครีมในกาแฟก็จะทำให้อ้วน ซึ่งความอ้วนคือปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง
ขอบคุณ สยามดารา
เครียดจากงาน โอกาศเสี่ยงเป็นโรคหัวใจสูง!
หากต้องทำงานที่มีความรับผิดชอบสูง แต่ขาดการควบคุมอารมณ์ที่ดี อาจส่งผลให้ป่วยเป็นโรคถึงขั้นเสียชีวิตได้
การศึกษาที่ทำการวิเคราะห์ผลการศึกษาในยุโรปที่มีอยู่แล้ว 13 ชิ้น ที่ศึกษากลุ่มตัวอย่างกว่า 200,000 คน ที่มีงานทำและไม่มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเส้นเลือดตีบตันใน 7 ประเทศของยุโรป พบว่า "ความเครียดในงาน" มีส่วนเชื่อมโยงต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวาย และเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ที่เพิ่มขึ้นถึง 23%
แม้ความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากโรคหัวใจจะน้อยกว่าการสูบบุหรี่หรือการไม่ออกกำลังกายค่อนข้างมาก แต่ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์แลนเซ็ต ระบุว่า พนักงานที่มีความเครียดในที่ทำงาน มีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคหัวใจ มากกว่าความเครียดที่เกิดจากรณีอื่น ๆ
มูลนิธิหัวใจอังกฤษ เผยว่า ประเด็นสำคัญของการศึกษาครั้งนี้คือ เพื่อที่จะทราบถึงวิธีการรับมือต่อปัญหาในที่ทำงานได้อย่างไร โดยทีมนักวิจัยจากยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ กรุงลอนดอน เผยว่าการทำงานในทุกสาขาอาชีพอาจนำไปสู่ภาวะเครียดได้ง่าย โดยเฉพาะอาชีพที่ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางจะเกิดความเครียดได้ง่ายกว่าอาชีพที่ไม่ต้องใช้ทักษะมากนัก เช่นแพทย์ที่ต้องตัดสินใจรักษาคนไข้จะมีความเครียดมากกว่าคนงานในโรงงาน
เมื่อศึกษาผลการศึกษาทั้ง 13 ชิ้นที่มีอยู่แล้วพบว่า ในช่วงต้นของการทำวิจัย กลุ่มตัวอย่างจะได้รับคำถามว่า พวกเขาได้รับงานมากเกินไปหรือไม่มีเวลาเพียงพอในการทำงานหรือไม่ หรือคำถามที่ว่าพวกเขามีเสรีภาพในการตัดสินใจในงานที่ทำมากเพียงใด ก่อนที่จะมีการแบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม คือเครียดและไม่เครียด ซึ่งพบว่าความเครียดในงานมีส่วนเกี่ยวข้องเล็กน้อย ทว่าเชื่อมโยงกับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
นักวิจัยกล่าวว่า การลดความเครียดในการทำงานได้ จะช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ร้อยละ 3.4 และมากถึงร้อยละ 36 หากหยุดสูบบุหรี่
มหาวิทยาลัยลอนดอนคอลเลจ ระบุว่า พนักงานที่ทำงานภายใต้ความเครียดมากๆ ในที่ทำงานประมาณร้อยละ 23 มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน และโรคหัวใจในอนาคตได้
ขอบคุณ มติชนออนไลน์